เซอร์ ไอแซค นิวตัน
ไอแซค นิวตัน เป็นนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกชาวอังกฤษที่มีความเชี่ยวชาญหลายด้าน
ไม่ว่าจะเป็นฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และปรัชญา โดยในยุคเดียวกัน
นิวตันเป็นผู้ที่สร้างผลงานที่โดดเด่นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกฎแรงดึงดูดระหว่างมวล
กฎการเคลื่อนที่ คณิตศาสตร์แคลคูลัส และทฤษฎีด้านแสง
ข้อแตกต่างของนิวตันที่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนๆ คือ
นิวตันเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีความพิถีพิถันในการทำงาน
การทำการทดลองของนิวตันจะมีระเบียบแบบแผนและมีการทดลองซ้ำหลายครั้งเพื่อขจัดของผิดพลาดที่เกิดขึ้น
รวมไปถึงการจดบันทึกที่มีระบบและมีรายละเอียด
วัยเยาว์
ไอแซค นิวตัน เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.1642 ที่วูลส์ทอร์ป
แคว้นลินคอล์นเชียร์ ประเทศอังกฤษ นิวตันกำพร้าบิดาตั้งแต่เกิด อีกทั้งเมื่ออายุได้
3 ขวบ มารดาของนิวตันได้แต่งงานใหม่
และพ่อเลี้ยงใหม่บังคับให้นิวตันย้ายไปอยู่กับยาย
แต่นิวตันเองก็เข้ากับยายได้ไม่ค่อยจะดีในตลอดช่วงเวลาหลายปีที่อาศัยอยู่กับยาย
ทำให้ชีวิตวัยเด็กของนิวตันเป็นช่วงชีวิตที่ไม่สมบูรณ์เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ
นิวตันเริ่มต้นเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้าน
เมื่อเริ่มต้นเรียนหนังสือครั้งแรกนั้น
นิวตันไม่ได้เป็นนักเรียนที่แสดงความสามารถพิเศษใดๆ
ออกมาว่าเป็นจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตอย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อมา
ความสามารถในด้านการประดิษฐ์และพรสวรรค์ด้านวิทยาศาสตร์ของนิวตันได้เริ่มปรากฏขึ้น
วัยศึกษา
ในช่วงเรียนมัธยมปลาย อนาคตของนิวตันอยู่บนทางสองแพร่ง
โดยมารดาของนิวตันต้องการให้นิวตันยุติการเรียนเพื่อมาช่วยงานในฟาร์มของครอบครัว
แต่ลุงและอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมัธยมได้ตระหนักถึงความสามารถและความเฉลียวฉลาดของนิวตันจึงได้เกลี้ยกล่อมมารดาของนิวตันให้อนุญาตให้นิวตันได้เรียนต่อจนจบมัธยมปลาย
ซึ่งถ้านิวตันไม่ได้บุคคลทั้งสอง
เราคงจะไม่รู้จักนิวตันในฐานะนักวิทยาศาสตร์เอกของโลก
บ้านของครวบครัวนิวตัน ที่วูลส์ทอร์ป
Trinity College
แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ในปี 1661 (อายุ 19 ปี) นิวตันได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษ
ถึงแม้ครอบครัวของนิวตันไม่ได้มีฐานะที่ยากจน
แต่การเรียนในมหาวิทยาลัยจำเป็นที่จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง
นิวตันจึงต้องทำงานหาเงินช่วยเหลือตนเอง
โดยเป็นคนทำความสะอาดห้องพักนักศึกษาในหอพักของมหาวิทยาลัย
และทำงานเป็นพนักงานเสริฟอาหาร ในระยะปีแรกๆ ที่นิวตันเข้ามาเรียนนั้น
ยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางใดๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1663 นักปราชญ์ชาวกรีกไอแซค
บาร์โรว (Issac Barrow) ได้ย้ายมาประจำแผนกคณิตศาสตร์
โดยบาร์โรวผู้นี้เป็นนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของยุโรปขณะนั้นเช่นเดียวกับปาสคาล
(Pascall) และวอลลิส (Wallis)
ไอแซค บาร์โรว
บาร์โรวได้ช่วยสอนนิวตัน และทำให้ความเป็นอัจฉริยะของนิวตันเริ่มต้นฉายแววขึ้น
และในปี ค.ศ. 1664 ขณะที่นิวตันมีอายุได้ 22 ปี
นิวตันได้สอบชิงทุนการศึกษาและสอบได้เป็นที่ 1 จากผู้ที่เข้าสอบทั้งหมด 45 คน
ขณะที่ได้รับทุนเล่าเรียนอยู่นั้น นิวตันได้ศึกษาด้านปรัชญาและดาราศาสตร์
พื้นฐานความรู้เหล่านี้เสริมให้นิวตันคิดค้นวิชาคณิตศาสตร์แขนงใหม่ซึ่งกลายมาเป็นแคลคูลัสในท้ายที่สุด
ปีมหัศจรรย์ : ผลงานค้นคว้าที่บ้าน
หลังจากสำเร็จการศึกษาในปี 1665 (อายุ 23 ปี)
มหาวิทยาลัยได้ถูกปิดลงเนื่องจากเกิดการระบาดของกาฬโรคครั้งใหญ่ในอังกฤษ
ทำให้นักศึกษาทุกคนรวมทั้งนิวตันต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมของตนเอง
ซึ่งในระหว่างที่กลับมาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาร่วม 2 ปี
นิวตันได้ค้นคว้าเรื่องคณิตศาสตร์ชั้นสูง ความรู้ที่เกี่ยวกับแสง และแรงโน้มถ่วงโลก
ซึ่งช่วงเวลา 2 ปีนี้เอง (1665- 1666)
นิวตันได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ถึง 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
สร้างคณิตศาสตร์แคลคูลัส วิเคราะห์สเปกตรัมแสง และ กฎแรงโน้มถ่วงโลก อย่างไรก็ตาม
ในช่วงเวลานั้น นิวตันไม่ได้ตีพิมพ์ผลงานดังกล่าวออกเผยแพร่
แต่ปรากฏอยู่ในสมุดจดบันทึกการทำงานของนิวตันเอง
กรุงลอนดอนเผชิญกับไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1666
ต้นแอปเปิลที่เคมบริดจ์
กลับสู่เคมบริดจ์ : ศาสตราจารย์อายุน้อยที่สุด
ในปี 1667 (อายุ 25 ปี) มหาวิทยาลัยได้เปิดทำการอีกครั้ง
นิวตันได้กลับมาศึกษาต่อที่เคมบริดจ์อีกครั้ง
ด้วยผลงานที่ได้ค้นคว้าในระหว่างที่พักอยู่ที่บ้าน
และการผลักดันของศาตราจารย์บาร์โรว ทำให้นิวตันได้รับปริญญาโท
และถูกแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกแห่งวิทยาลัยตรินิตี้
(หนึ่งในวิทยาลัยของเคมบริดจ์)
ในปี 1668 นิโคลาส เมอร์เคเตอร์ นักคณิตศาสตร์ชาวเดนมาร์กได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ
"ลอการิทโมเทคเนีย" และเมื่อนิวตันได้อ่านหนังสือดังกล่าวแล้ว
นิวตันถึงกับตระหนักว่าสิ่งที่เมอร์เคเตอร์เขียนนั้นเป็นคณิตศาสตร์ที่เขาได้สร้างขึ้นเมื่อปี
1666 ในขณะพักอยู่ที่วูลส์ทอร์ป แต่ด้วยความช่วยเหลือของบาร์โรว
ทำให้ผลงานคณิตศาสตร์ของนิวตันได้รับการเผยแพร่
และเป็นที่ยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในยุโรปว่า นิวตันเป็นผู้คิดค้นก่อน
เนื่องจากบาร์โรว์เป็นศาสตราจารย์ของเคมบริดจ์และเป็นผู้เดียวที่ทราบว่านิวตันได้ค้นคว้าและสร้างคณิตศาสตร์ดังกล่าวขึ้นในปี
1666 ในช่วงที่กาฬโรคระบาดในอังกฤษ จึงอาจกล่าวได้ว่า
ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือและการรับประกันจากบาร์โรวแล้ว
เครดิตและชื่อเสียงของผู้ที่คิดค้นจะต้องตกเป็นของมอร์เคเตอร์อย่างแน่นอน
เพราะในขณะนั้นนิวตันยังไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังและไม่เป็นที่รู้จักหรือยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ
ปี 1669 บาร์โรวได้ลาออกจากตำแหน่งศาตราจารย์ทางคณิตศาสตร์
และพร้อมกับสนับสนุนให้นิวตันขึ้นดำรงตำแหน่งแทนด้วยวัยเพียง 27 ปี
ซึ่งถือได้ว่าดำรงตำแหน่งศาตราจารย์ทางคณิตศาสตร์ที่มีอายุน้อยที่สุด
ในระยะเริ่มต้นการดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์
นิวตันได้ค้นคว้าเรื่องทางด้านแสงต่อเนื่องจากที่ได้ศึกษาค้นคว้าในขณะพักอยู่ที่บ้านที่วูลส์ทอร์ป
และได้สร้างกล้องโทรทรรศน์แบบใหม่ที่เรียกว่า "กล้องโทรทรรศน์แบบสะท้อนแสง"
ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ากล้องที่สร้างโดยกาลิเลโอ
กล้องโทรทรรศน์ประดิษฐ์โดยนิวตัน สมาชิกราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน
ในช่วงปี 1670 ถึง 1672 นิวตันเน้นการค้นคว้าในด้านแสงเป็นหลัก
จนทำให้ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกของราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน (Royal Society of
London) ในปี 1672 (นิวตันอายุ 30 ปี)
ราชสมาคมเป็นแหล่งรวมของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของอังกฤษและยุโรป
โดยมีราชวงศ์อังกฤษเป็นผู้ให้การสนับสนุน
ในปี 1672
นิวตันได้เขียนบทความวิชาที่อธิบายถึงผลการค้นคว้าที่เกี่ยวกับสีและแสง
โดยตีพิมพ์ในวารสารของราชสมาคม
แต่ทฤษฎีแสงของ
นิวตันได้รับการวิจารณ์ในเชิงลบอย่างมากจากโรเบิร์ต ฮุก
ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำผู้หนึ่งของอังกฤษ
ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่นิวตันได้เผชิญหน้ากับคนที่มีความรู้ความสามารถในระดับที่เท่าเทียมกัน
ความขัดแย้งในครั้งนี้ทำให้นิวตันและฮุกเป็นศัตรูกันตลอดช่วงชีวิตของทั้งคู่
การทดลองด้านแสงของนิวตัน ไม่ประสบผลสำเร็จในการเล่นแร่แปรธาตุ
ในยุคสมัยก่อนนิวตัน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ชอบทดลองการเล่นแร่แปรธาตุ
ซึ่งต่อมาได้มีพัฒนาการจนเป็นศาสตร์ด้านวิชาเคมีในปัจจุบัน
หลังจากการโต้เถียงกับฮุกในครั้งนั้น
ทำให้นิวตันเกิดความเบื่อหน่ายในการค้นคว้าด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์
นิวตันจึงหันไปค้นคว้าการเล่นแร่แปรธาตุอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
โดยนิวตันตั้งใจจะค้นคว้าอย่างมีระบบและนำคณิตศาสตร์มาใช้ในการอธิบาย
เพื่อให้การเล่นแร่แปรธาตุได้รับการยอมรับในเชิงวิทยาศาสตร์มากขึ้น
ซึ่งแต่เดิมนั้นการเล่นแร่แปรธาตุถูกมองว่าเป็นเรื่องเวทมนตร์หรือไสยศาสตร์
หลังจากใช้เวลาค้นคว้า 4 ถึง 5 ปี นิวตันประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย
และได้ตัดสินใจยุติการค้นคว้าด้านนี้ลงในปี 1679
พรินซิเพีย (Principia)
หลังจากยุติการทดลองด้านเคมีลง นิวตันหันกลับมาค้นคว้าเรื่องกลศาสตร์ต่อ
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งกับฮุกก็ยังคงดำเนินต่อไป
โดยฮุกไม่ยอมรับสิ่งที่นิวตันเสนอ และจะกล่าวว่าตัวเขาเอง (ฮุก)
เป็นผู้ที่คิดได้คนแรก โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องที่เกี่ยวกับกฎการเคลื่อนที่
ซึ่งมีผู้วิเคราะห์ภายหลังว่า อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่แปลกนัก
เนื่องจากฮุกเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่ง และค้นคว้าในหลายๆ เรื่องในเวลาเดียวกัน
แต่ฮุก
แตกต่างจากนิวตันตรงที่ว่าฮุกไม่ได้ค้นคว้าในเชิงลึกเหมือนกับที่นิวตันทำ
ความขัดแย้งกับฮุกในประเด็นว่าใครเป็นคนแรกที่คิดค้นกฎที่เกี่ยวกับกฎการเคลื่อนที่ได้
ทำให้เพื่อนสนิทของนิวตันได้หว่านล้อมและเกลี้ยกล่อมให้นิวตันตีพิมพ์ผลงานที่เกี่ยวกับกฎการเคลื่อนที่
เพื่อจะได้เป็นการยุติความขัดแย้งดังกล่าว
โดยเพื่อนสนิทของนิวตันได้ยกกรณีที่เกิดขึ้นในปี 1668
เมื่อมอร์เคเตอร์ตีพิมพ์ผลงานด้านคณิตศาสตร์ที่นิวตันได้คิดไว้ก่อน
หนังสือ Principia
นิวตันได้เริ่มต้นเขียนหนังสือเล่มดังกล่าวในกลางปี 1684 หลังจากใช้เวลา 2 ปี
นิวตันได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า Philosophiae Naturalis Principia Mathematica
หรือเรียกสั้นๆว่า "Principia" เสร็จสมบูรณ์ลงในเดือนเมษายน ปี 1686 (นิวตันอายุ 44
ปี) โดยหนังสือเล่มนี้อธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันทั้ง 3
ข้อและกฎแรงดึงดูดระหว่างมวลที่โด่งดังจนมาถึงปัจจุบัน โดยหนังสือ Principia
เล่มนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก
แคลคูลัส: นิวตันหรือไลบ์นิซ เป็นผู้คิดค้นคนแรก ?
จากอุปนิสัยส่วนตัวของนิวตัน
ที่ไม่ยอมเผยแพร่ผลงานการค้นคว้าของตนเองจนกว่าจะมั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับการเผยแพร่สู่สาธารณชน
ทำให้เกิดความขัดแย้งกับนักวิทยาศาสตร์ผู้อื่นที่ทำการเผยแพร่ผลงานที่คล้ายกันและตีพิมพ์ผลงานดังกล่าวก่อน
ในปี 1684 นักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมัน ชื่อ กอตต์ฟรีด วิลเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิซ
ได้ตีพิมพ์ผลงานทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่าแคลคูลัส ทำให้
นิวตันต้องออกมากล่าวว่า
ตัวนิวตันเองที่เป็นผู้คิดค้นคนแรกตั้งแต่ปี 1666
โดยนิวตันเรียกคณิตศาสตร์ดังกล่าวว่า "fluxion"
ทำให้นิวตัวและไลบ์นิซมีข้อโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
กอตต์ฟรีด วิลเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิซ
จากการค้นคว้าหลักฐานต่างๆ ในภายหลังพบว่า
ในขณะที่ไลบ์นิซพำนักที่กรุงลอนดอนในฐานะสมาชิกของราชสมาคม
ไลบ์นิซได้พบปะกับนักคณิตศาสตร์รวมทั้งศาสตราจารย์บาร์โรวที่ทำงานร่วมกับนิวตัน
โดยไลบ์นิซได้อ่านผลงานชิ้นหนึ่งของนิวตันจนเข้าใจ และได้นำมาพัฒนาเป็นแคลคูลัส
พร้อมกับประกาศว่าตนเองเป็นผู้สร้างแคลคูลัสขึ้นเป็นคนแรก
จึงทำให้นิวตันโกรธมาก
ความขัดแย้งระหว่างนิวตันและไลบ์นิซได้เริ่มขึ้น
โดยมีศาสตร์แคลคูลัสเป็นเดิมพัน อย่างไรก็ตาม
จากความน่าเชื่อถือรวมกับชื่อเสียงของนิวตัน
ทำให้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ราชสมาคมไม่เชื่อว่าไลบ์นิซจะเป็นผู้คิดค้นเป็นคนแรก
ซึ่งนิวตันเป็นผู้ชนะอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม
ในภายหลังได้มีการยอมรับว่าทั้งนิวตันและไลบ์นิซเป็นผู้สร้างแคลคูลัส
ผู้อำนวยการโรงกษาปณ์
หลังจากที่เขียนหนังสือ Principia เสร็จ ในช่วงปี 1693-1696
นิวตันได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เนื่องจากสาเหตุหลายประการ อาทิเช่น
การทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูญเสียมารดา
และอาจจะมีสารพิษสะสมในร่างกายจากการทดลองเล่นแร่แปรธาตุหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากทำงานที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นเวลาร่วม 35 ปี ในปี 1696 (อายุ 54 ปี)
นิวตันได้รับเชิญจากพระเจ้าชาร์ลที่ 2 ให้เข้ารับดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงกษาปณ์
กรมธนารักษ์ นิวตันตอบรับข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตครั้งใหญ่
จากนักวิทยาศาสตร์เป็นนักบริหาร อย่างไรก็ตาม
นิวตันได้นำทักษะและความสามารถทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในการทำงานที่กรมธนารักษ์
โดยพัฒนาเหรียญกษาปณ์ให้ทันสมัย
ประธานราชสมาคม
หนังสือออพติกส์ และตำแหน่ง "เซอร์"
ในขณะที่นิวตันทำงานให้กับกรมธนารักษ์ ถึงแม้นิวตันจะพักอยู่ในกรุงลอนดอน
แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของราชสมาคมมากนัก
เนื่องจากฮุกยังดำรงตำแหน่งระดับสูงอยู่ในราชสมาคม จนกระทั่งฮุกเสียชีวิตลงในปี
1703 สมาชิกของราชสมาคมได้ลงมติเลือกนิวตันเป็นประธานราชสมาคม
โดยขณะนั้นนิวตันมีอายุได้ 61 ปี และดำรงตำแหน่งไปตลอดอายุขัยของนิวตัน
รวมเป็นเวลาถึง 24 ปี
ก่อนเข้ารับตำแหน่งประธานราชสมาคม
ราชสมาคมอยู่ในยุคที่ค่อนข้างตกต่ำเนื่องจากมีปัจจัยทางการเมืองเข้าแทรกแซง
แต่เมื่อนิวตันเข้ารับตำแหน่งประธานแล้ว
นิวตันได้ฟื้นฟูและปฏิรูปแนวทางการดำเนินงานของสมาคมจนมีสมาชิกเพิ่มขึ้น
และทำให้สมาคมมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยอมรับจนถึงปัจจุบัน
ในปี 1704 นิวตันได้เขียนหนังสือที่เกี่ยวกับความรู้ด้านแสง
จากการค้นคว้าที่สะสมมาตั้งแต่ 1666 โดยหนังสือเล่มดังกล่าวมีเชื่อว่า "optics"
ซึ่งเหตุผลประการหนึ่งที่นิวตันยอมเขียนหนังสือเล่มนี้
ก็เนื่องจากฮุกได้เสียชีวิตลงไปก่อนแล้ว
ถ้าฮุกยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะมีเรื่องขัดแย้งกับนิวตันอย่างไม่มีข้อยุติ
ในปี 1705 (อายุ 63 ปี) นิวตันได้รับพระราชทานยศชั้นอัศวิน ในตำแหน่งเซอร์
จากสมเด็จพระราชินีแอน
ซึ่งถือได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้รับเกียรตินี้
วิหารเวสต์มินสเทอร์ แอบบี
นิวตันเสียชีวิตลงในวันที่ 20 มีนาคม 1727 ด้วยวัย 84 ปี
ศพของนิวตันถูกฝังไว้ที่วิหารเวสต์มินสเทอร์ แอบบี ในกรุงลอนดอน
ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพของกษัตริย์ ราชินี และเชื้อพระวงษ์ชั้นสูงเท่านั้น
รูปปั้นของไอแซค นิวตัน ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
วิหารเวสต์มินสเทอร์ แอบบี
ในกรุงลอนดอน
เอกสารอ้างอิง
[1] จารนัย พานิชกุล (ผู้แปล), Jon Balchin (ผู้เขียน), "สุดยอดอัจฉริยะ 100
นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนแปลงโลก" (100 Scientists Who Changed the World),
สำนักพิมพ์ปาเจรา, 2549
[2] ทวี มุขธระโกษา, "นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก",
สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์, 2548
[3] สุทัศน์ ยกส้าน, “อัจฉริยะนักวิทย์”,
สำนักพิมพ์สารคดี, 2548
[4] เย็นใจ สมวิเชียรม, "นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะของโลก",
นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2549
ขอบคุณภาพ MV เซอร์ ไอแซค นิวตัน
จาก www.youtube.com
วัยเยาว์
วัยศึกษา
|
|
|
|
ไอแซค บาร์โรว
ปีมหัศจรรย์ : ผลงานค้นคว้าที่บ้าน
|
|
|
|
กล้องโทรทรรศน์ประดิษฐ์โดยนิวตัน
นิวตันได้รับการวิจารณ์ในเชิงลบอย่างมากจากโรเบิร์ต ฮุก ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำผู้หนึ่งของอังกฤษ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่นิวตันได้เผชิญหน้ากับคนที่มีความรู้ความสามารถในระดับที่เท่าเทียมกัน ความขัดแย้งในครั้งนี้ทำให้นิวตันและฮุกเป็นศัตรูกันตลอดช่วงชีวิตของทั้งคู่
การทดลองด้านแสงของนิวตัน
พรินซิเพีย (Principia)
|
|
|
แคลคูลัส: นิวตันหรือไลบ์นิซ เป็นผู้คิดค้นคนแรก ?
นิวตันต้องออกมากล่าวว่า ตัวนิวตันเองที่เป็นผู้คิดค้นคนแรกตั้งแต่ปี 1666 โดยนิวตันเรียกคณิตศาสตร์ดังกล่าวว่า "fluxion" ทำให้นิวตัวและไลบ์นิซมีข้อโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
กอตต์ฟรีด วิลเฮล์ม ฟอน ไลบ์นิซ
ผู้อำนวยการโรงกษาปณ์
ประธานราชสมาคม หนังสือออพติกส์ และตำแหน่ง "เซอร์"
วิหารเวสต์มินสเทอร์ แอบบี
|
|
|
|
- [1] จารนัย พานิชกุล (ผู้แปล), Jon Balchin (ผู้เขียน), "สุดยอดอัจฉริยะ 100
นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนแปลงโลก" (100 Scientists Who Changed the World),
สำนักพิมพ์ปาเจรา, 2549
[2] ทวี มุขธระโกษา, "นักวิทยาศาสตร์เอกของโลก", สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์, 2548
[3] สุทัศน์ ยกส้าน, “อัจฉริยะนักวิทย์”, สำนักพิมพ์สารคดี, 2548
[4] เย็นใจ สมวิเชียรม, "นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะของโลก", นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, 2549
- ขอบคุณภาพ MV เซอร์ ไอแซค นิวตัน
- จาก www.youtube.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น